ทำไมแค่มี ‘สวัสดิการรักษาพยาบาล’ จากที่ออฟฟิศจึงไม่เพียงพอ ?

ทำไมแค่มี ‘สวัสดิการรักษาพยาบาล’ จากที่ออฟฟิศจึงไม่เพียงพอ ?

โดยทั่วไปสวัสดิการสำหรับ ‘พนักงานประจำ’ อย่างเช่น “ประกันกลุ่ม” จากบริษัท ที่มาพร้อมวงเงินค่ารักษาพยาบาลที่หลากหลาย แต่มักจะให้ไม่สูงนัก จึงทำให้เมื่อถึงเวลาที่ต้องใช้จริง ๆ วงเงินค่ารักษาของประกันกลุ่มอาจจะไม่เพียงพอ ดังนั้น แม้จะได้รับสวัสดิการจากบริษัทแล้ว ก็ยังควรมี “ประกันสุขภาพ” ดี ๆ สักเล่มติดตัวไว้ด้วย

อย่างไรก็ตามประกันสุขภาพก็มีหลายแบบ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นอย่างไรดี บทความนี้​เราจะมาอธิบายให้เข้าใจว่าทำไมควรมีประกันสุขภาพติดตัวและประกันแบบไหนที่เราแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นทำประกันสุขภาพครับ

ประกันกลุ่มค่อนข้างมีข้อจำกัด

“ประกันกลุ่ม” ถือว่าเป็นสวัสดิการพื้นฐานสำหรับคนที่ทำงานประจำ ที่โดยทั่วไปแล้วจะให้วงเงินความคุ้มครองที่หลากหลาย โดย “วงเงินคุ้มครอง” ว่าจะได้รับวงเงินค่ารักษาเท่าไรอย่างไรบ้างของแต่ละรายการ จะขึ้นอยู่กับอายุงาน ตำแหน่งงาน ซึ่งก็มักจะไม่สูงมากนัก อย่างเช่น OPD ก็อาจจะให้เพียงครั้งละ 1,000 – 2,000 บาท ซึ่งอาจไม่ครอบคลุมค่ารักษาที่เกิดขึ้นจริงในรพ.เอกชน ทำให้เราต้องจ่ายเพิ่มเติม

แล้วยิ่งถ้าต้องนอนโรงพยาบาลนาน ๆ หรือเป็นโรคเฉพาะทางอย่างโรคร้ายแรง ก็จะมีโอกาสสูงมากที่วงเงินคุ้มครองของประกันกลุ่มจะไม่เพียงพอ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะมีวงเงินคุ้มครองเพียงไม่กี่หมื่นเท่านั้น แต่ค่ารักษาที่เกิดขึ้นจริงอาจสูงมากกว่านั้น

อีกทั้งการคุ้มครองที่ได้รับจากบริษัทนั้นยังจำกัดอยู่เฉพาะช่วงที่ทำงานอยู่เท่านั้น ดังนั้น ถ้าหากมีเหตุให้ต้องออกจากงานไปหรือว่าเกษียณ เท่ากับต้องสูญเสียสวัสดิการเหล่านี้ไปด้วย แล้วถ้าเราไปทำประกันสุขภาพหลังจากนั้น แล้วมีปัญหาเรื่องสุขภาพก็อาจจะทำให้ประกันสุขภาพไม่คุ้มครองโรคหรือปัญหาสุขภาพที่เป็นมาก่อน หรืออาจจะไม่สามารถสมัครได้เลย

นอกจากนี้มนุษย์เงินเดือนก็ยังมีความเสี่ยงในการเจ็บป่วยมากขึ้น ทั้งจากโรคเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่าง Office Syndrome ที่เกิดจากการไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ไปจนถึงโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ที่มักจะเห็นออกข่าวอยู่บ่อย ๆ ดังนั้น ถึงแม้พนักงานออฟฟิศจะได้สวัสดิการรักษาพยาบาลจากที่ทำงานแล้วก็ตาม แต่ก็ควรมี “ประกันสุขภาพ” ติดเอาไว้ด้วย

แนะนำทำประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายและโรคร้ายแรงคู่กัน

สำหรับใครมองว่าสวัสดิการเดิมที่มีอยู่อาจจะไม่เพียงพอ แล้วกำลังมองหาประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุม และเบี้ยฯ อยู่ในระดับที่คุ้มค่า แนะนำเลยว่า ณ ปัจจุบันนี้ ต้องเริ่มต้นด้วย “ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย” คู่กับ “ประกันโรคร้ายแรง” โดยประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายจะให้ความคุ้มครองในรูปแบบของวงเงิน “ค่ารักษาพยาบาล” ที่เกิดขึ้นจริง สามารถเป็นตัวช่วยรองรับค่าใช้จ่ายแทนได้ ส่วนประกันโรคร้ายแรงจะให้ผลประโยชน์ในรูปแบบของ “เงินก้อน” ไว้สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นหลังการรักษา หรือช่วงที่ฟื้นฟูร่างกายที่อาจจะยังไม่สามารถหารายได้ได้ สามารถเป็นตัวช่วยให้หมุนเวียนเงินสดได้โดยไม่ต้องสะดุด

ประกันทั้งสองตัวจึงสามารถทำงานร่วมกันในแง่การลดภาระค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงสภาพคล่องได้เป็นอย่างดี ทำให้ในวันร้าย ๆ ยังสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ แม้จะไม่มีเงินเก็บเป็นก้อนเอาไว้ก็ตาม

ประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่แนะนำ AIA Health Saver

หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย “เบี้ยประกัน” ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประกันสุขภาพแบบแยกวงเงินค่ารักษาทั่วไป ซึ่งทาง AIA เข้าใจปัญหาและความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี ล่าสุดจึงได้ออก “สัญญาเพิ่มเติม เอไอเอ เฮลธ์ เซฟเวอร์ (AIA Health Saver)” ประกันสุขภาพตัวใหม่ที่ให้ความคุ้มครองแบบเหมาจ่ายในราคาที่สบายกระเป๋าขึ้น กับ 4 แผนประกันที่ให้คุณเลือกได้ตามงบประมาณ เริ่มตั้งแต่ 200,000 ไปจนถึง 500,000 บาท เหมาะกับคนที่กำลังมองหาประกันตัวเสริมเพื่อมาเพิ่มความอุ่นใจ และอยากได้วงเงิน OPD ในค่าเบี้ยฯ ที่ย่อมเยา

จุดเด่น AIA HEALTH SAVER คือไม่ว่าจะป่วยหนักหรือเจ็บเล็กเจ็บน้อยก็คุ้มครองให้หมด ในราคาไม่แพงอย่างที่คิด

1. เหมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงสุด 500,000 บาท²

2. มีวงเงิน OPD เพิ่มเติมให้สูงสุด 1,500 บาทต่อครั้ง สูงสุด 30 ครั้งต่อรอบปีกรมธรรม์

3. ป่วยเป็น 6 โรคร้ายแรงยอดฮิต เบิ้ลความคุ้มครองให้เป็นสองเท่า⁴

4. เบี้ยฯ เริ่มต้นเพียง 575 บาทต่อเดือนเท่านั้น¹

AIA HEALTH SAVER จึงเป็นประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายที่เหมาะกับการช่วยแบ่งเบาค่ารักษาและเป็นตัวเสริมจากประกันสุขภาพเดิมที่มีอยู่ แม้มีงบจำกัดก็สามารถเข้าถึงได้ แต่หากอยากได้ความคุ้มครองที่มากขึ้นก็สามารถพิจารณา สัญญาเพิ่มเติม เอไอเอ เฮลธ์ แฮปปี้ (AIA Health Happy) ซึ่งมีวงเงินค่ารักษาหลักล้าน ตั้งแต่ 1-25 ล้านบาท กว่าเดิมเพื่อให้ครอบคลุมค่ารักษายามเจ็บป่วยหนักแทนได้

ประกันโรคร้ายที่แนะนำ AIA CI SuperCare

ส่วนประกันโรคร้ายแรงที่จะมาช่วยเป็นเบาะรองรับชั้นที่สอง ขอแนะนำตัว “สัญญาเพิ่มเติม เอไอเอ ซีไอ ซูเปอร์แคร์ (AIA CI SuperCare)” ประกันโรคร้ายแรงเจอจ่ายจบ คุ้มครอง 62 โรคร้ายแรง/การรักษา ประกอบด้วยโรคร้ายแรงระดับต้นถึงปานกลาง 18 โรค และ โรคร้ายแรงระดับรุนแรง 44 โรค

จุดเด่นของ AIA CI SuperCare คือ สามารถวางแผนชำระเบี้ยฯ ระยะสั้น 10 ปี หรือ ระยะยาว 20 ปี โดยจ่ายเบี้ยฯ คงที่ตลอดสัญญา รับความคุ้มครองยาวไปจนถึงอายุ 99 ปี จึงช่วยให้วางแผนการเงินง่าย ไม่ต้องกังวลว่าเบี้ยฯ จะสูงขึ้นจนจ่ายไม่ไหว อีกทั้งถ้าเกิดไม่ป่วยโรคร้ายแรงเลย ก็มีเงินคืนให้ หมดความกังวลใจเรื่อง “เบี้ยฯ ไม่จ่ายทิ้ง”

AIA CI SuperCare จึงเหมาะกับมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการทยอยจ่ายเบี้ยฯ ในช่วงที่ยังทำงานอยู่ และเมื่อเกษียณก็ไม่ต้องจ่ายเบี้ยฯ ใด ๆ ทำให้สบายใจ ไม่ว่าเป็นโรคร้ายเมื่อไร ก็ได้รับความคุ้มครองทันที จึงเป็นอีกหนึ่งประกันโรคร้ายแรงที่ได้รับความนิยมในหมู่พนักงานประจำ

ที่มา : https://www.aia.co.th/th/health-wellness/content-hub/good-health/why-employee-health-benefits-is-not-enough

Scroll to Top